เกี่ยวกับ

เกี่ยวกับ โสดาบัน.com #

วัตถุประสงค์ #

เพื่อถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับพุทธศาสนา ตามที่ผู้เขียนได้ศึกษามา มีครูบาอาจารย์สอนสั่ง และ/หรือ ได้ประสบพบเจอกับตัวเอง ในภาษาที่เข้าใจได้ง่าย และมีความเหมาะสมกับพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์และสังคมในยุคปัจจุบัน

นักธุรกิจนั่งสมาธิ

ผู้เขียนคือใคร #

ผู้เขียนเป็นฆราวาส ที่เคยมีโอกาสได้บวชในระยะเวลาสั้นๆ ปัจจุบันทำงานในธุรกิจสายเทคโนโลยีดิจิทัล และเคยศึกษาอยู่ที่สหรัฐอเมริกาเป็นเวลา 14 ปี และเคยไม่เชื่อในศาสนาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จนกระทั่งได้มีประสบการณ์กับสิ่งที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ จึงได้เริ่มศึกษา โดยเริ่มต้นจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาฮินดูก่อน แต่ก็มาบรรจบที่ศาสนาพุทธ

ปัจจุบัน ผู้เขียนมีความเชื่อว่า ได้สิ้นความสงสัยในพระรัตนตรัยแล้ว และได้สิ้นความยึดมั่นในพิธีกรรมอีกด้วย แต่ก็มีอัตตา ที่ยังไม่สามารถละได้ และก็อธิษฐานว่า ขอให้ทำให้ได้มากที่สุดในชีวิตนี้ หรือหากโชคดีจริง ก็ขอให้ละได้โดยบริบูรณ์เลย จะเป็นความสุขสูงสุดที่ไม่มีอะไรที่จะทดแทนได้

สิ่งที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ เป็นเงาตามตัว และอยู่กับผู้เขียนตลอดเวลา สำหรับผู้เขียนแล้ว

  1. เป็นเครื่องยืนยันว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง
  2. เป็นเครื่องมือในการสื่อสารเพื่อรับความรู้และปัญญาจากอีกมิติหนึ่ง
  3. เป็นเครื่องมือในการสื่อสารกับครูบาอาจารย์ที่เป็นมนุษย์ ทั้งที่เป็นฆราวาสและภิกษุ ที่สามารถเข้าถึงสิ่งเดียวกันได้ ซึ่งเขารู้เรา และเราก็รู้เขา

แต่สิ่งเหล่านี้ ไม่สามารถพูดคุยกับคนทั่วไปได้ โดยไม่เกิดผลเสียกับ การทำงาน ความน่าเชื่อถือ และความสัมพันธ์อื่นๆ จึงเป็นสิ่งที่น้อยคนมาก ที่จะรู้เกี่ยวกับผู้เขียน

ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาที่จะโอ้อวด จึงไม่ได้แสดงตัวตนที่แท้จริง แต่ขอเป็นอีกหนึ่งเสียงที่จะยืนยันว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง

สัมผัสพิเศษ #

ส่วนหนึ่งของสิ่งที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้และเป็นเงาตามตัว คือสัมผัสพิเศษของผู้เขียน ซึ่ง กาย คือสัมผัสแรก แต่ต่อมาได้มีพัฒนาการจนมีสัมผัสของ ภาพ เสียง กลิ่น และ ใจ ซึ่งภาพและเสียง มีประโยชน์ในการสื่อสาร แต่ใจมีความลึกซึ้งในการเข้าถึงมากที่สุด

ภาพ #

  • การสัมผัสถึง แสงสว่าง พลัง ความรู้ และปัญญา จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่สัมผัสด้วยตาได้ เช่น ด้วยการมอง พระพุทธรูป รูปปั้นเทพเจ้าฮินดู ภาพวาด ภาพถ่าย ยันต์ ตัวหนังสือในพระไตรปิฎก พระเครื่อง ฯลฯ โดยไม่ว่าจะเห็นของจริงที่อยู่ตรงหน้า หรือ ผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์เช่นกัน
  • การสัมผัสถึง แสงสว่าง พลัง ความรู้ และปัญญา จาก ครูบาอาจารย์ที่เป็นมนุษย์ ทั้งที่เป็นฆราวาสและภิกษุ ที่สัมผัสด้วยตาได้
  • การทำตามข้อข้างบน ด้วยการจินตนาการภาพในใจ แต่ไม่ได้ผลดีเท่ากับการมองเห็นด้วยตาจริงๆ

เสียง #

  • การสัมผัสถึง แสงสว่าง พลัง ความรู้ และปัญญา จากบทสวด ข้อความ ที่สัมผัสด้วยหู หรือด้วยการอ่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เนื้อหาจากในพระไตรปิฎก ที่เป็นประวัติของประพุทธเจ้า และพระอรหันต์รูปต่างๆ หรือเหตุการณ์สำคัญในพระพุทธศาสนา
  • การทำตามข้อข้างบน ด้วยการจินตนาการเสียงหรือข้อความในใจ แต่ไม่ได้ผลดีเท่ากับการฟังหรืออ่านจริงๆ

กลิ่น #

  • การสัมผัสถึง แสงสว่าง พลัง ความรู้ และปัญญา ที่สัมผัสด้วยกลิ่น เช่นกลิ่นดอกมะลิ กลิ่นกำยาน กลิ่นธูป

ใจ #

  • การสัมผัสถึง แสงสว่าง พลัง ความรู้ และปัญญา ด้วยการใช้ใจ ซึ่งนอกเหนือจากจะเป็นการจินตนาการถึงภาพหรือเสียงในใจแล้ว ยังมีอะไรที่สลับซับซ้อนและยากที่จะอธิบายสำหรับการใช้ใจในการสื่ออีกมาก

กาย #

  • การสัมผัสถึง แสงสว่าง พลัง ความรู้ และปัญญา จากสัมผัสด้วยกายหรือด้วยการอยู่ใกล้หรืออยู่ในสถานที่นั้น เช่นการใช้มือจับพระเครื่อง หรือการอยู่ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์

ปีติ #

ผู้เขียนมีอาการทางกาย ที่เกิดขึ้นเอง เมื่อได้รับรู้ถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ผ่านสัมผัสต่างๆ

  1. หากเป็นพุทธจะมีอาการของปีติ จนน้ำตาไหล ร้องไห้
  2. หากเป็นฮินดูหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะมีการเกร็งของร่างกาย ในบางครั้งจะมีการหัวเราะจากกระบังลม ที่มีความแตกต่างกับการหัวเราะในกรณีปกติ

ในส่วนของฮินดู บางครั้งก็มีอาการที่คล้ายปีติ แต่ยังแตกต่างกับของพุทธ

Calendar แก้ไขล่าสุด 17 พฤศจิกายน 2565 โดย เอี้ยก้วย